ตำนานทานาบาตะ ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า
มิการาน
กำลังเดินทางกลับบ้านภายหลังจากเสร็จงานในทุ่งนา
ขณะที่เดินผ่านชายฝั่งทะเลสาบ
เขาได้พบสิ่งของบางอย่างแขวนอยู่ที่ต้นไม้ดูคล้ายผ้า "ขอโทษค่ะ
คุณ" หัวใจของมิการานเต้นตึกตักๆ "ผมไม่ทราบว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร ผมไม่เคยเห็นผ้าอะไรเลย" เขาโกหก ความจริงแล้ว มิการานตกหลุมรักทันทีที่เขามองเห็นหญิงสาว เขากลัวว่า ถ้าเขามอบผ้าผืนนั้นให้หล่อนไป หล่อนก็จะเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า และอันตรธานจากไปตลอดกาล มิการานแสร้งทำเป็นค้นหาผ้าผืนนั้น ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น "คงมีใครขโมยผ้าผืนนั้นไปแล้ว" หญิงสาวที่มีชื่อว่า
ทานาบาตะ
นั่งลงกับพื้นและเริ่มร้องไห้สะอื้น
มิการานจูงมือเธอ "อย่าร้องไห้ไปเลย
ถ้าเธอไม่รู้จะไปไหน
เธอก็สามารถไปพักกับผมได้" วันหนึ่ง ขณะที่มิการานออกไปทำงานในทุ่งนา ทานาบาตะได้พบนกที่เธอเลี้ยงไว้เกาะอยู่บนบางสิ่งบางอย่างซึ่งอยู่ระหว่างขื่อที่ค้ำหลังคาบ้าน ขณะที่หล่อนจ้องมองอยู่นั้น นกได้ยื่นเอาจะงอยปากของมันไปที่ช่องว่างเพดานนั้น แล้วดึงเอาผ้าชิ้นสวยออกมา "ผ้าของฉัน มิการานรู้ว่าผ้าผืนนี้อยู่ที่ไหนตลอดเวลา เขาซ่อนมันไว้ไม่ให้ฉันรู้" ค่ำวันนั้น
มิการานกลับมาจากทุ่งนา
พบภรรยารอคอยอยู่ข้างนอกด้วยชุดเสื้อผ้าแห่งสวรรค์ของหล่อน
ทานาบาตะยกมือสองข้างเหนือศีรษะไปยังท้องฟ้า
แล้วเริ่มเหาะขึ้นสู่อากาศ
เธอได้มองลงมาที่สามีแล้วพูดว่า ในคืนนั้นเอง มิการานได้รวบรวมฟางข้าวมากที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้วเริ่มสานรองเท้าตลอดทั้งวันทั้งคืน ในที่สุด เขานับรองเท้าได้หนึ่งพันคู่ เขาจึงรีบออกไปข้างนอกแล้วขุดหลุมใหญ่เพื่อนำรองเท้าเหล่านั้นไปฝังใต้หน่อไม้ ทันทีที่เอาดินกลบรองเท้า หน่อไม้ก็เริ่มงอกอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจ ยอดของหน่อไม้นั้นก็หายไปในก้อนเมฆ มิการานเริ่มไต่กิ่งต้นไผ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
เมื่อถึงยอดเขาก็สามารถมองเห็นพื้นสวรรค์อยู่เหนือตัวเขาขึ้นไป
แต่ยังไม่สามารถเอื้อมถึง
ดูเหมือนว่า
ด้วยความรีบร้อนทำให้เขาสานรองเท้าได้เพียงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคู่เท่านั้น "มิการาน
รอสักครู่นะ"
ทานะบาตะหยิบผ้าชิ้นยาวที่กำลังทออยู่ออกจากกี่
แล้วหย่อนลงไปหามิการาน
เขายึดชายผ้าไว้แน่นแล้วสาวขึ้นไปหาก้อนเมฆ
จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาหล่อน
ทั้งคู่ยึดจับอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
ขณะนั้นเอง
ชายชราที่มีเครายาวและมองดูดุร้ายปรากฏตัวขึ้นมา
เขาคือบิดาของทานาบาตะนั่นเอง
ทานะบาตะแนะนำสามีให้พ่อได้รู้จัก "แกนี่โง่จริงๆ ไม่ใช่ที่ดวงดาวแห่งนี้ ฉันหมายถึงทุ่งแห่งดวงดาวทางโน้น เอาล่ะ เธอจงนำเอาเมล็ดพืชเหล่านั้นทั้งหมดไปปลูกใหม่" มิการานคงต้องใช้เวลาเป็นปีๆกว่าจะปลูกได้ครบทั้งหมด ทานาบาตะได้ช่วยเรียกนกที่เธอเลี้ยงเอาไว้มาและบอกให้นกตัวนั้นไปขอร้องเพื่อนๆให้ขุดเมล็ดพืชทั้งหลายไปปลูกใหม่ ในไม่ช้า ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยนกจำนวนนับหมื่น นกเหล่านั้นได้บินถลาจิกเอาเมล็ดพืชจากทุ่งแห่งดวงดาวแห่งหนึ่ง แล้วนำไปปลูกไว้ที่ทุ่งแห่งดวงดาวอีกแห่งหนึ่ง งานได้เสร็จสิ้นลงในเวลาไม่นานนัก พ่อของทานะบาตะไม่สู้จะร่าเริงนัก
เขาใช้เวลาในคืนนั้นทั้งคืนครุ่นคิดหางานที่ยากลำบากอีกชิ้นหนึ่งให้มิการานทำ
ในตอนเช้า
เขาเรียกมิการานเข้าไปหาและสั่งให้มิการานยืนเฝ้าไร่แตงโมเป็นเวลา
3 วัน 3 คืน
โดยห้ามกินข้าวกินน้ำ มิการานสัญญาว่าเขาจะไม่แตะต้องผลไม้นั้นเด็ดขาด แต่ภายหลังจากที่เขายืนเฝ้ายามอยู่ที่ไร่แตงโมท่ามกลางแสงแดดแผดจ้าสองวัน ลำคอของเขาก็แห้งผาก ในที่สุดเขาไม่สามารถอดทนต่อไปได้ เขาจึงผ่าแตงโมหวานฉ่ำออกมาลูกหนึ่ง "จุ๊บ จั๊บๆๆๆๆ" กระแสน้ำได้ไหลออกมาจากแตงโมนั้น
และชั่วพริบตานั้นเอง
กระแสธารน้ำได้กลายเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก
มิการานถูกกระแสน้ำพัดถูกที่เท้าทั้งสองข้าง
และแล้ว
กระแสน้ำที่มีพลังก็นำเอามิการานไปยังอีกด้านหนึ่งของหุบผาสวรรค์อันไกลแสนไกล ในทุกวันนี้ ทานาบาตะและมิการานยังคงนั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำสายนั้น ที่เราเรียกกันว่า ทางช้างเผือก คุณสามารถมองเห็นพวกเขาทั้งสองในแต่ละคืน คอยจดจ้องเหม่อมองข้ามไปหากันและกัน รอคอยเพียงวันเดียวในแต่ละปีที่พ่อของทานาบาตะจะอนุญาตให้ทั้งคู่พบกันได้ ซึ่งก็ตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 นั่นเองค่ะ ลองแหงนดูท้องฟ้าคืนนี้สิคะ พวกเขากำลังรอคอยวันที่จะได้พบกันอีกครั้งอยู่ ซึ่งก็คือดวงดาวชายเลี้ยงวัว กับดาวหญิงทอผ้านั่นเองค่ะ |